อีกครั้ง...ที่ฉันมีโอกาส ได้ใช้บริการรถไฟโบราณ ที่ต้องเรียกว่ารถไฟโบราณ ก็เนื่องจากว่าในปัจจุบันนี้ ต้องใช้การเดินทางจากรถไฟหลายประเภท ซึ่งแตกต่างจากสมัยก่อน ที่พอพูดถึงรถไฟแล้ว ก็จะนึกถึงรถไฟไทย ที่มีคำย่อว่า ร.ฟ.ท. และตามด้วยคำล้อเลียน ในวัยเด็กที่เราเคยล้อเลียนกัน ว่า ร.ฟ.ท. รถไฟไทย ปู้น ปูน ชึก ฉัก ชึก ฉัก ถึงก็ช่าง....ไม่ถึงก็ช่าง
ในปัจจุบัน รถไฟไทย ได้มีเชื้อสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น... ที่ทำให้ต้องมีคำแบ่งแยกรถไฟออกไป...ได้แก่ รถไฟลอยฟ้า หรือรถไฟฟ้า หรือ B.T.S ที่พวกเรารู้จักกันในปัจจุบัน และ อีกสายพันธุ์หนึ่ง ก็คือรถไฟใต้ดิน หรือรถไฟฟ้ามหานคร นั่นเองฉะนั้น.. ก็เลยต้องเปลี่ยนมาเรียก ร.ฟ.ท. ของเรา ว่า "รถไฟโบราณ" เพื่อแยกความแตกต่างออกไป..ให้เห็นชัดเจนดีขึ้นวันนี้..ก็เป็นอีกวันหนึ่ง...ที่ฉันได้ใช้บริการรถไฟโบราณ ขบวน กรุงเทพ -หนองคาย ซึ่งเป็นรถไฟสายที่ต้องวิ่งผ่านลำน้ำเป็นระยะทาง ในบริเวณ"แก่งเสือเต้น" ที่เป็นแหล่งน้ำเดียวกันกับ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์นั่นเอง ทัศนียภาพสองข้างทางในขณะที่รถไฟแล่นไปบนสะพานปูน ผ่านบริเวณกลางลำน้ำ เป็นภาพที่สวยสดงดงาม ที่ทุกครั้งของการเดินทางบนเส้นทางนี้ ฉันไม่เคยที่จะพลาดในการชมวิวทิวทัศน์ในช่วงเวลานี้การนั่งรถนาน ๆ และการเดินทางคนเดียวนั้น บางทีก็เป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อ แต่หากคนที่นั่งข้าง ๆ เป็นคนที่ชอบสนทนาพาที บางที ก็ทำให้ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน และเขาคนนั้นอาจได้ปรากฏเป็นหนึ่งในตัวละครเรื่องสั้นของฉันเรื่องต่อไปก็ได้
แต่ ณ. ขณะนี้ฉันหันไปดูคนที่นั่งข้าง ๆ แล้วเขาคงชอบอยู่เงียบ ๆ คนเดียวมากกว่าที่จะสนทนาพาที....การเดินทางในวันนี้...เป็นการเดินทางในขากลับ เที่ยวหนองคาย- กรุงเทพ เป็นขบวนรถไฟที่บรรทุกผู้โดยสารจำนวนมหาศาล ที่ต่างก็มุ่งหน้ากลับสู่กรุงเทพ เพื่อให้กลับมาทันวันเริ่มงานหลังจากที่ได้หยุดกลับบ้านในช่วงเทศกานต์สงกานต์ อากาศภายนอก..ร้อนระอุขบวนรถที่ฉันโดยสารมาในวันนี้ ถึงแม้จะเป็นตู้ปรับอากาศ ก็ยังรู้สึกอบอ้าว ทำให้อดนึกไปถึงคนที่นั่งในตู้ขบวน ชั้น 2 และ 3 ที่เป็นตู้ธรรมดา และตู้พัดลม เขาจะร้อนกันสักแค่ไหน? ภาพที่มองเห็นด้วยสายตาในวันนี้ มีคนตีตั๋วยืนมาเต็มทุกตู้ ระยะทางจากหนองคายถึง กรุงเทพ ต้องใช้เวลาเดินทางทั้งวัน แต่พวกเขาเหล่านั้น ก็ต้องทนยืนขาแข็ง เพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทางให้ทันกำหนดการทำงานในวันรุ่งขึ้น..เที่ยวขาไป...ที่ออกจาก กรุงเทพ ไปหนองคายก็มีสภาพไม่แตกต่างกัน คงต่างแต่เพียงว่า ทุกคนในขบวนนั้น มีความหวังตรงรอยยิ้ม ของ พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง ที่มาเฝ้ารอรับที่สถานี ต่อให้ยืนนานแค่ไหน..พวกเขาเหล่านั้น..ก็มีกำลังใจที่จะยืน สว่นเที่ยวขากลับที่ออกจากหนองคาย มุ่งสู่กรุงเทพ ทุกคนมีแต่ความเหนื่อยล้า ตู้ที่ฉันนั้งอยู่ติดกับตู้รถไฟชั้น 3 ชั้นธรรมดา ทุกครั้งที่ฉันเดินมาเข้าห้องน้ำก็มักจะมายืนมองทะลุช่องประตูออกไปยังตู้ชั้น 3 ดูแล้วรู้สึกสงสาร หลายคนยืนหลับ หลายคนลงไปนั่งกับพื้นทางเดิน แล้วที่กองอยู่ตรงแทบเท้าของฉันในขณะนี้ คือชายคนหนึ่งซึ่งหนี้จากตู้ชั้น 3 เข้ามาตรงจุดเชื่อมต่อของตุ้ชั้น 3 และ ตู้ปรับอากาศ ซึ่งเป็นช่วงบริเวณห้องน้ำนั่นเอง เขานอนหลับขวางทางเดินอยู่ตรงหน้าประตูห้องน้ำพอดี!!
ฉันเอื้อมมือไปสะกิดหัวไหล่เขา และกล่าวขอโทษเขาเบา ๆ เพื่อขอให้เขาขยับตัวออกมาให้ฉันเปิดประตูห้องน้ำได้ เขาสบตาฉันด้วยสายตาที่เหนื่อยล้า ก่อนจะขยับตัวให้ และหันไปพิงกับผนังทางเดินฝั่งตรงข้ามพร้อมกับหลับตาลง..ก่อนหน้าที่ฉันจะถึงคิวเข้าห้องน้ำ...ฉันเห็นหลาย ๆ คน ที่ดุด่า และแสดงท่ารังเกียจ ก่งโมโห ที่ชายคนนี้มานอนขวางทางเข้าห้องน้ำ...แต่ฉันเอง.กลับไม่เคยรู้สึกโมโห เขาเลย เขาคงอ่อนล้า...จากการยืนมาในตู้ขบวนชั้น 3 เป็นระยะเวลาที่วนาน จนทนความเมื่อยล้าไม่ไหว..ถึงได้หลบมานอนตรงหน้าประตูห้องน้ำที่ตรงนี้...อา...น้ำใจ..ของเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก....แค่แบ่งบันทางเดินหน้าห้องน้ำให้เป็นที่พักพิง...ของชายผู้เหนื่อยล้า...ฉันได้แต่นึกปลงในใจใช่ว่า...ฉัน เอง..จะไม่เคยนั่งรถไฟ ชั้น 2 และ ชั้น 3 ในสมัยที่เรียนหนังสือต้องช่วยพ่อและแม่ประหยัดค่าใช้จ่าย ฉันก็เคยลิ้มรสชาดเหล่านั้นมาแล้ว แม้แต่ทางรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็น รถโดยสาร บ.ข.สสีส้ม หรือ รถด่วน 99 ก็เคยนั่งมาแล้วเช่นกัน แต่ ณ.วันนี้..วันที่สามารถหาเงินเองได้แล้ว ก็เลือกที่จะเดินทางแบบสบาย ๆ มากกว่า ทางเลือกหนึ่งที่ชอบเลือกใช้เป็นประจำ ก็คือ ทางรถไฟ คงเป็นเพราะความชอบส่วนตัวด้วยมั้ง ดูเป็นการเดินทางที่มีรสชาด มีชีวิชีวา แต่ในช่วงเทศกาลเช่นนี้ ใช่ว่าจะสามารถหาตั๋วได้งาย ๆ ฉันเองก็ต้องใช้เวลาในการจองตั๋วรถไฟปรับอากาศมานานล่วงหน้าร่วม 2 เดือน
จะว่าไปแล้ว..การเดินทางในแต่ละรูปแบบก็สนุกแตกต่างกันออกไป เดิมทีในช่วงเทศกาลทีมีคนเดินทางจำนวนมาก ฉันเองมักจะเดินทางกลับบ้านโดยรถยนต์ส่วตัว โดยกลับร่วมกับครอบครัวของพี่ชายเป็นประจำทุกปี แต่หลังจากที่พี่สะใภ้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตลงไป พี่ชายก็ได้นำหลานทั้งสองคนไปฝากเลี้ยงที่บ้านปู่และย่า ทำให้ในช่วงหลัง ๆฉันกับพี่ชาย ก็เลยแยกกันเดินทางแบบทางใครทางมัน แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคน เพราะไม่มีภาระในเรื่องของหลาน ๆ ที่ร่วมเดินทาง ทำให้หนึ่งในทางเลือกของการเดินทางที่ฉันเลือกใช้ ก็คือ รถไฟโบราณ ซึ่งคงจะทำให้ได้มีประสบการณ์การเดินทางมาเล่าสู่กันฟังอยู่เรื่อย ๆ ในบันทึกการเดินทางผ่านรถไฟโบราณ ที่คุณกำลังอ่านกันอยู่ในตอนนี้..
No comments:
Post a Comment